วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

บารากุ อันตราย

เคยอ่านบทความจากหลายๆที่เค้าบอกว่า การสูบ บารากุ ไม่เป็นอันตรายหรืออันตราน้อยกว่าบุหรี่
เพราะไม่มีนิโคติน มีกลิ่นหอม และอื่นๆอีกมากมาย แถมยังช่วยรักษาโรคบางชนิดได้
พอไปเห็นบทความอันนี้เลยเอามาให้ทุกคนได้อ่านว่า ความเป็นจริงแล้วมันอันตรายแค่ไหน
บารากุ ดูเหมือนจะเป็นอันตรายกว่า การสูบบุหรี่เยอะเลยนะคะ เป็นห่วงทุกคนนะเอามาให้อ่านกัน
       
บารากุ หรือ บารากู่ คือ ชื่อเรียกอุปกรณ์การสูบยาอย่างหนึ่งที่มาจากอาหรับ มันมีรูปร่างเป็นเตาที่ดูคล้ายตะเกียงหลากสีต่อกับสายท่อที่ไว้ สำหรับสูบ
ความจริงคนอาหรับเรียกสิ่งนี้ว่า มอระกู่ ก่อนที่จะเพี้ยนไปตามสำเนียงของแต่ละภาษา การสูบบารากุนี้ถือว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวอาหรับ ซึ่งใช้แทนการสูบบุหรี่
 โดยจะเป็นการร่วมสังสรรรค์กันระหว่างเพื่อนฝูงและญาติมิต ร ซึ่งนอกจากชาวอาหรับแล้ว ชาวมุสลิมในบางประเทศ เช่น มาเลเซีย ก็นิยมสูบบารากุด้วยเช่นกัน

สำหรับตัวยาที่ใช้ในการสูบบารากุนั้น จะเป็นตัวยาชนิดหนึ่งที่มาจากการนำยาเส้นมาบดผสมกับเปลือกผลไม้ แต่ละชนิด
ซึ่งจะส่งผลให้เวลาสูบ นอกจากจะได้ไอของยาเส้นแล้ว ก็จะมีไอหอมอ่อน ๆ ของเปลือกผลไม้นั้นผสมอยู่ด้วย ซึ่งมีหลายชนิดด้วยกันตามแต่เปลือกผลไม้ที่ผสมเข้าไป เช่น แอปเปิ้ล  มินต์  หรือองุ่น
ซึ่งตัวยาที่ใช้ในการสูบนั้นมีชื่อเรียกต่างกันในแต่ละท้องที่ เช่น ในอียิปต์และแถบเปอร์เซียจะเรียกยาสูบชนิดนี้ว่า ชิชา (shisha, shesha, shishah, sheesha, )
แต่ในปากีสถานจะเรียกว่า ฮูกาห์  (hookah, hooka, huka) นอกจากนี้ก็ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น นาจิเล  (nargile,narghile,nargila) หรือ วอเตอร์ไพร์ (Water pipe) เป็นต้น

การสูบบารากุนั้น สามารถทำได้โดยเอาตัวยาไปใส่ในเตาตรงกลาง เอาฟอยล์หุ้มด้านบนแล้วเจาะรู จากนั้นเอาถ่านร้อน ๆ จุดไฟย่างบนฟอยล์ และจะต้องมีการวัดน้ำด้วย
จากนั้นก็ใส่ตัวยาด้านบนที่มีถ่านรองอยู่ พอเกิดควันก็ค่อยสูบผ่านท่อ โดยควันที่สูบนั้นจะลงไปผ่านน้ำก่อนที่จะเข้าปาก
ซึ่งต่างจากการสูบบุหรี่ทั่วไปตรงที่บุหรี่จะสูบตัวยาเข้าไปโดย ตรง แต่สำหรับการสูบบารากุจะสูบจากกลิ่นควันที่ผ่านน้ำแทน

ไม่ มีหลักฐานแน่ชัดว่าบารากุนั้น เริ่มเข้ามาในประเทศไทยสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาพร้อมกับชาวอาหรับและชาวมุสลิมแถบมา เลเซีย
ซึ่งสมัยก่อนสำหรับประเทศไทยแล้ว บารากุ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะจากความยุ่งยากในการสูบ และตัวยาที่ใช้สูบที่ต้องนำเข้ามา จึงหายากและมีไม่มากนัก
ดังนั้นทำให้การสูบบารากุในประเทศไทยจึงได้รับความนิยมเฉพาะกลุ ่มเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ด้วยเพราะรูปร่างและลวดลายของเตาบารากุที่ทำออกมาได้อย่างวิ จิตรงดงาม
 จึงกลายเป็นของฝากที่คนท้องถิ่นหรือคนที่ไปท่องเที่ยว ณ สถานที่นั้น ชอบซื้อติดไม้ติดมือมาฝากคนทั่วไปกันอย่างแพร่หลาย

ต่อ มาในปัจจุบัน การสูบบารากุเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ด้วยความเชื่อที่ว่า การสูบบารากุให้ผลเสียน้อยกว่าการสูบบุหรี่ และมีสรรพคุณบำรุงและรักษาร่างกายต่าง ๆ มากมาย
ทำให้ใน 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้เริ่มมีการนำเข้าเตาบารากุเข้ามาในประเทศไทยกันอย่างแพร่หลา ยมากขึ้น โดยราคาของเตาบารากุนั้นจะแตกต่างกันไปตามลวดลายและขนาด
โดยมีราคาตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน  ซึ่งตอนแรกจะมีขายเตาบารากุในสถานที่เฉพาะเท่านั้น เช่น ถนนข้าวสาร ซอยนานา หรือตามร้านอาหารของชาวอาหรับ
แต่ต่อมาการสูบบารากุก็ได้รับความนิยมถึงขนาดเข้าไปเป็นส่วนหนึ ่งของกิจกรรมในผับ บาร์ ทั่วไป
จนมาถึงในปัจจุบันนี้ จากที่มีการนำเข้าเตาบารากุมาเป็นจำนวนมาก ประจวบกับตัวยาสูบที่หาได้ง่ายขึ้น ทำให้ค่านิยมการสูบบารากุของกลุ่มคนที่สนใจนั้นเริ่มเปลี่ยนไป
จากที่เคยออกไปสูบตามสถานเริงรมย์ต่าง ๆ ก็กลับกลายเป็นการซื้อเตามาไว้ในครอบครอง และหาสูบเองที่บ้าน

การสูบบารากุนั้นเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่หรือยาสู บอื่น ๆ จริงหรือไม่ ในเรื่องนี้
น.พ.หทัย ชิตานนท์ ประธานภาคีกฎหมายบุหรี่โลกและประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย
ได้ชี้แจงให้เห็นถึงการวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่า
ยาเส้นประเภทสูบผ่านน้ำหรือฮูกาห์นั้น
มีอันตรายมากกว่าการสูบบุหรี่ตามปกติ เพราะมีสารนิโคตินและสารทาร์มากกว่าบุหรี่ทั่วไป
รวมทั้งวิธีการสูบผ่านน้ำ และการปรุงแต่งรสของยาเส้นกับผลไม้หรือกลิ่นต่าง ๆ นั้น
ทำให้ความเข้มข้นของควันจางลง ซึ่งส่งผลให้สามารถสูบได้ลึกมากขึ้น
และสูบจำนวนมากนั้นก็ถือว่าเป็นการสูบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อย่างมาก

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียแห่งอังกฤษ ก็ได้ทำการวิจัยออกมาแล้วว่า การสูบบารากุ 45 นาที
จะมีปริมาณฝุ่นละอองมากกว่า 36 เท่าคาร์บอนมอนอกไซด์ 15 เท่า และมีนิโคตินสูงขึ้น 70% เมื่อเทียบกับการสูบบุหรี่หนึ่งมวน
นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าบาง ครั้งมีการใช้สารเคมีอันตรายบางตัวเพื่อให้ตัวทำความร้อนติดไฟไ ด้ง่ายขึ้นอีกด้วย 30% ของผู้ที่สูบบารากุ
มีโอกาสจะติดโรคร้ายแรงในช่องปาก ขณะที่ผู้สูบบุหรี่จะมีโอกาสเป็นโรคในช่องปาก 24% ส่วนคนที่ไม่สูบอะไรเลย 8 %
สามารถติดโรคทางช่องปากได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีนิโคตินหรือใบยาสูบอยู่เลย แต่ก็ยังมีสารพิษตัวอื่นทำร้ายเราได้
แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างมากที่การสูบบารากุนั้นไม่ใช่เรื่ องที่ผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่โทษของการสูบบารากุนั้นมีมากกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไปหลายเท่า
ซึ่ง นายอมรชัย ไตรคุณากรวงศ์ นักวิทยาศาสตร์ ของกองตรวจและพิสูจน์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) กล่าวว่า
จากที่เคยมีเจ้าหน้าที่นำชิ้นส่วนบารากุมาให้ตรวจพิสูจน์นั้น มีลักษณะคล้ายสมุนไพร จากการตรวจสอบพบว่าในบารากุนั้นมีส่วนผสมของสารนิโคตินคล้ายกับ ยาสูบ
และยังพบสารคูมารีนที่เป็นผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติที่ทำให้เกิดกลิ ่นหอม พร้อมกับกากผลไม้ต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง และจากองค์ประกอบที่ตรวจพบนี้
 ก็ไม่ได้มีการระบุในพระราชบัญญัติใด ๆ เลยว่า บารากุเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะสิ่งที่พิสูจน์ไปนั้นไม่มีสารเสพติดใด ๆ ผสมอยู่

อย่าง ไรก็ตาม การที่พบสารนิโคตินในบารากุ ก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่า การสูบบารากุอาจจะทำให้เกิดอาการติดยาได้ ซึ่งมีผลไม่ต่างอะไรกับยาเสพติดเลย

แต่ด้วยการที่มันไม่เป็นของผิดกฎหมาย ทำให้การสูบบารากุในหมู่วัยรุ่นได้ความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าการสูบบารากุในวัยรุ่นนั้นจะแพร่หลายออกไปใน วงกว้าง
 และด้วยความเข้าใจผิดของกลุ่มวัยรุ่นที่มองว่าการสูบบารา กุให้โทษน้อยกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไปหลายเท่า ก็น่าเป็นห่วงว่าการสูบบารากุจะกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่ผิดของหมู ่วัยรุ่น
ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด

ถึง แม้ว่าบารากุจะเป็นแค่วิธีการหรือเครื่องมือในการสูบ แต่ถ้าตัวยาที่ใช้สูบนั้น เปลี่ยนไปเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดอื่น ๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะส่งผลเสียต่อกลุ่มวัยรุ่นมากมายขนาดไหน

สิ่งที่น่ากลัวของการสูบบารากุในประเทศไทย นั้น ไม่ใช่การสูบบารากุ แต่เป็นผู้สูบบารากุ ที่จะเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นและมีแนวโน้มว่าจะเป็นวัยเด็กล งเรื่อย ๆ

ทั้ง ไม่ผิดกฎหมาย ปลอดภัยกว่าและหาซื้อได้ง่าย สามข้อนี้ก็สามารถจูงใจวัยรุ่นให้ทดลองเสพบารากุได้แล้ว ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะเห็นว่ามันกำลังจะก ลายเป็นปัญหาใหญ่

หรือจะมองผ่านไปแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังจนไม่อาจรับมือได้ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านเหล่านั้นที่จะดำเนินการเช่นไร

"บารากุไฟฟ้า" คืออะไร

null

          สำหรับผู้ที่อยากจะเลิกสูบบุหรี่ และลองใช้วิธีเลิกบุหรี่มามากมายหลายวิธีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลสักที วันนี้เรามีตัวช่วยพิเศษ ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถลดละ และเลิกสูบบุหรี่ได้ในที่สุด นั่นก็คือ "บารากุไฟฟ้า"และ บารากุไฟฟ้า คืออะไร แล้วมันจะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงๆ หรือเปล่า เรามาลองดูกันครับ
            บารากุไฟฟ้านั้นไม่มีอันตราย เพราะไม่มีสารนิโคติน และน้ำมันดิน จึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่ติดบุหรี่ และต้องการที่จะเลิก
          จุดเด่นของบารากุไฟฟ้า  คือ ควันที่มีกลิ่นหอม ไม่เหม็นเหมือนกับบุหรี่ หรือยาสูบประเภทอื่น เพราะมีสารที่ใช้ประกอบอาหารเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถสูบได้ทุกที่ แม้แต่ในที่สาธารณะ เนื่องจากไม่มีอันตรายทั้งต่อตัวผู้สูบ และผู้ที่อยู่ใกล้เคียง และที่โดนใจวัยรุ่นและคนทั่วโลกมากที่สุดนั่นก็คือบารากุไฟฟ้านั้นมีควันที่ มีกลิ่นหอมของผลไม้ต่างๆ อาทิเช่น กลิ่นมินท์ กลิ่นองุ่น แอปเปิ้ล เลมอน เชอร์รี่ และอื่นๆ อีกมากมาย
          ข้อดีของบารากุไฟฟ้า คือ ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องชาร์จ มีขนาดเล็ก พกพาสะดวกและมีหลายรสให้เลือก สามารถได้ตั้งแต่ 100 – 400 ครั้ง ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของบารากุไฟฟ้าด้วย ที่สำคัญคือไม่เป็นใช้งานอันตราย ต่อร่างกายอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่มีสารนิโคติน และไม่มีสารเสพติดใดๆทั้งสิ้น เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ และกำลังจะกลายเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นบ้านเรา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่เป็นอย่างมาก เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง หันมาสูบบารากุไฟฟ้าแทนเถอะครับ

 

 โทษ 17 อย่าง ของบารากุ
 
       1.บารากู่ไฟฟ้าเป็นชื่อเรียกอุปกรณ์เลียนแบบการสูบบุหรี่ชนิดใหม่ มีลักษณะเป็นแท่งยาว 11 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9.5 มิลลิเมตร เปรียบเทียบกับมวนบุหรี่ธรรมดาที่มีความยาว 8.7 เซนติเมตร และเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มิลลิเมตร
      
       2.ปลอกแท่งบารากู่ไฟฟ้าเป็นโลหะบาง ภายในจะมีสายพลาสติกขนาดเล็กที่ต่อกับแบตเตอรี่ เพื่อทำให้เกิดละอองฝอย จากแผ่นใยสังเคราะห์ที่ชุบน้ำยาที่ปรุงแต่งเป็นกลิ่นผลไม้ น้ำยามีลักษณะเป็นน้ำมันมีกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ แต่กลิ่นฉุนแรงมาก กลิ่นจะติดนิ้วมือที่สัมผัสน้ำยานานและล้างออกยากมาก
      
       3.บารากู่ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง ขนาดหนึ่งกล่องมี 5 มวน ราคา 300 บาท หรือมวนละ 60 บาท
      
       4.บนกล่องบารากู่ไฟฟ้าพิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษว่าไม่มีนิโคติน ไม่มีทาร์ ไม่มีคาร์บอนมอนนอกไซด์
       แต่ละแท่งสูบได้ถึง 400 ครั้ง น้ำยาจะหมดและแบตเตอรี่คงจะหมด ไม่ต้องมีการเติมน้ำยาหรือชาร์จแบตเตอรีใหม่ สูบหมดมวนก็ทิ้งไปเลย
      
       5.การทำงานของแท่งบารากู่ ไฟฟ้าเหมือนกับบุหรี่ไฟฟ้า เพียงแต่แท่งบารากู่ไฟฟ้า แบตเตอรีและน้ำยาใช้หมดในแต่ละมวน ไม่มีการเติมน้ำยาใหม่ หรือชาร์จแบตเตอรีใหม่
      
       6.น้ำยาที่อยู่ภายในแท่งบารากู่ไฟฟ้า อยู่ในรูปที่ชุบอยู่กับใยสังเคราะห์ น้ำยาดังกล่าวเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ให้เกิดกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ ขณะที่น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นนิโคตินเหลว สารนิโคตินไม่มีกลิ่น แต่นิโคตินเหลวที่ใช้ในบุหรี่ไฟฟ้ามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากการเติมสารเคมี 10-20 ชนิด รวมถึงสารเคมีที่ทำให้น้ำนิโคตินเหลวระเหยเป็นละอองไอน้ำง่ายขึ้น เพื่อทำให้เวลาสูบแล้วพ่นออกมาเห็นเป็นควันเหมือนการสูบบุหรี่ โดยสรุปก็คือบารากู่ไฟฟ้ากับบุหรี่ไฟฟ้า มีอุปกรณ์การสูบที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่น้ำยาที่ใช้แตกต่างกัน
      
       7.ถ้าหากน้ำยาที่ใช้กับบารากู่ไฟฟ้า มีสารนิโคตินผสมอยู่ด้วย ก็อาจจะเรียกไว้ว่าเป็น “บุหรี่ไฟฟ้าชูรส” คือเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ปรุงแต่งให้เกิดกลิ่นรสชนิดต่าง ๆ โดนส่วนใหญ่เป็นรสผลไม้
      
       8.บารากู่ไฟฟ้า น้ำยาที่ทำให้เกิดควันไอน้ำเวลาสูบ ประกอบด้วยสารเคมีสังเคราะห์ที่มีกลิ่นผลไม้ชนิดต่าง ๆ สูบด้วยแท่งโลหะที่มีแบตเตอรีบรรจุอยู่ภายใน ส่วนบารากู่ธรรมดา สิ่งที่ใช้เผาให้เกิดควันสำหรับสูบประกอบด้วย ยาเส้นหมักกับกากผลไม้และน้ำตาล สูบจากอุปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์คล้ายแจกัน

17 เรื่องควรรู้ “บารากู่ไฟฟ้า”
       9.ทั้งบารากู่ธรรมดาและบารากู่ไฟฟ้ามีการอ้างว่าไม่มีสารนิโคติน ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
      
       10.ถ้าหากว่าน้ำยาปรุงแต่งกลิ่นของบารากู่ไฟฟ้าไม่มีการผสมสารนิโคตินจริงก็ไม่น่าจะเสพติด ยกเว้นมีการผสมสารเสพติดชนิดอื่น
      
       11.บารากู่ไฟฟ้ายังคงอันตราย เพราะโดยปกติการสูดดมสารเคมีที่เป็นสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น
      
       12.สารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่ให้เกิดกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ ในบารากู่ไฟฟ้า ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง เนื่องจากยังไม่มีการอนุญาตให้ขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเพิ่งจะมีการใช้บารากู่ไฟฟ้าไม่นาน จึงไม่สามารถสรุปได้ว่า การสูบบุหรี่บารากู่ไฟฟ้าไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
      
       13.จากการที่ลองแกะแท่งบารากู่ไฟฟ้าแล้วแยกส่วนประกอบ พบว่าน้ำยาที่ทำให้เกิดกลิ่นผลไม้ภายในแท่งบารากู่ไฟฟ้า มีกลิ่นฉุนติดนิ้วมือที่สัมผัสน้ำยา ล้างออกยากมาก กลิ่นยังติดมือถึงข้ามคืน จึงน่าจะอนุมานได้ว่าสารเคมีที่เป็นไอน้ำจากการสูบบารากู่ไฟฟ้า จะตกค้างอยู่ในปอดของผู้สูบ เป็นอันตรายต่อปอดอย่างแน่นอนในผู้ที่ใช้ติดต่อกัน
      
       14.สารเคมีที่ปรุงแต่งกลิ่นบารากู่ไฟฟ้า อาจมีสารที่เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านปอด เป็นสารเคมีที่มีอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เหมือนกรณีสารพิษจากการสูบบุหรี่ธรรมดาได้
      
       15.คนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าต่อ เนื่องก็เพราะมีสารนิโคติน การสูบบุหรี่ธรรมดา การสูบบารากู่ หรือการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเพียงวิธีการนำสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดเข้าสู่ร่างกาย ถ้าหากบารากู่ไฟฟ้าไม่มีการผสมสารนิโคตินจริง การสูบบารากู่ไฟฟ้าน่าจะเป็นเพียงแฟชั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อผู้คนรู้ว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายคนก็จะเลิกใช้ จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ผู้ผลิตบารากู่ไฟฟ้าจะเติมสารนิโคตินในบารากู่ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการเสพติด เพื่อไม่ให้คนเลิกสูบ
      
       16.ไม่ควรหลงเชื่อพ่อค้าที่ขายบารากู่ไฟฟ้าว่าสูบแล้วไม่มีอันตราย
      
       17.ถ้ายังอยากลองสูบหรือกำลังสูบอยู่ อยากจะให้นำแท่งบารากู่ไฟฟ้ามาแกะภายในออกดู จะพบส่วนประกอบที่ทำให้เกิดละอองฝอย และน้ำยาบารากู่ไฟฟ้า น้ำยาที่เหนียวเหมือนน้ำมันจะมีกลิ่นฉุนติดนิ้วมือของคุณที่แทบจะล้างไม่ออก แล้วคุณจะตัดสินใจได้ว่า คุณยังอยากสูบมันต่อไปอีกหรือไม่
   เตือนควัน 'บารากู่ไฟฟ้า' มีอันตราย
จากกรณีทีมข่าวอาชญากรรมเกาะติดการแพร่ระบาดของบารากุ่ไฟฟ้าหลังพบว่ามี การโฆษณาขายบารากู่ไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในโลกออ นไลน์ ขณะเดียวกันยังพบว่าส่วนใหญ่พบว่ามีกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชน รวมทั้งมีการอวดสรรพคุณว่าสูบบารากู่ไม่มีอันตรายควันหอมไม่รบกวนผู้อื่นไม่ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ศ.นพ.ประกิตวาทีสาธกกิจเลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่าบารากู่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่ออกมาหลอกเงินจากวัยรุ่น อุปกรณ์ในการสูบที่เหมือนบุหรี่ไฟฟ้าก็มีที่เป็นแท่งมีแบตเตอรี่ในตัวภายใน แท่งบรรจุแผ่นใยสังเคราะห์ชุบน้ำยากลิ่นผลไม้มีลักษณะคล้ายน้ำมันมีกลิ่นฉุน มากเวลาสูบแล้วพ่นออกมาจะเป็นไอโดยใช้หมดมวนแล้วทิ้งเลยก็มีการที่ผู้ขาย เรียกชื่อสินค้าใหม่นี้ว่าบารากู่ไฟฟ้าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเนื่องจากบารา กู่ต้นตำรับเป็นการหมักยาเส้นกับกากผลไม้ต่างๆ ทำให้เวลาสูบบารากู่มีกลิ่นผลไม้แต่บารากู่ไฟฟ้านั้นกลิ่นผลไม้มาจากสารเคมี สังเคราะห์ให้เกิดกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ อาจจะเรียก บารากู่ไฟฟ้าว่าบุหรี่ไฟฟ้าชูรสก็คงจะไม่ผิด
ที่ผู้ขายบอกว่าไม่มีสารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้านั้น อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้แต่ถึงไม่มีสารนิโคตินในบารากู่ไฟฟ้าสารเคมีชนิด ต่าง ๆที่ทำให้เกิดกลิ่นผลไม้เมื่อสูดเข้าสู่ปอดจะเป็นอันตรายมากน้อยเพียงใดยัง ไม่มีข้อมูลที่สรุปได้ว่าไม่มีอันตรายแต่จากการแกะแท่งบารากู่ไฟฟ้าออกดูที่ พบสารคล้ายน้ำมันกลิ่นฉุนจัดในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดขอยืนยันว่าสาร เคมีปรุงแต่งกลิ่นซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมเป็นอันตรายต่อปอดและร่างกายแน่ๆ ส่วนที่บอกว่าไม่มีสารนิโคตินในบารากู่ไฟฟ้านั้นถ้าหากไม่มีจริง ๆบารากู่ไฟฟ้าก็จะไม่เสพติดไม่นานคนก็จะเลิกสูบไปเองส่วนในทางกฎหมายนั้นผู้ ขายบารากู่ไฟฟ้าที่มีลักษณะเป็นแท่งเหมือนบุหรี่มีความผิดตามมาตรา 10พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบพ.ศ.2535 เนื่องจากเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบสินค้ายาสูบมีโทษปรับไม่เกิน 20,000บาท อย่างไรก็ตามอยากเตือนวัยรุ่นว่าอย่าตกเป็นเหยื่อให้กับพ่อค้าบารากู่ไฟฟ้า เพราะจะทั้งเสียเงิน เสียสุขภาพและเสียรู้แก่พ่อค้าที่หวังแต่ผลกำไรเท่านั้นถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ ลองแกะแท่งบารากู่ไฟฟ้าออกแล้วดมกลิ่นดู รับรองคุณจะไม่สูบมันอีก
ขณะที่นายเอ็ม(นามสมมุฒิ)อายุ30 ปี พ่อค้าบารากุไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้าย่านปริมณฑลเปิดเผยกับทีมข่าวเดลินิวส์ว่า จุดเริ่มต้นของบารากุ่ไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้า มาจากความเชื่อที่ว่า สามารถเลิกบุหรี่ได้ ทำให้เป็นที่ต้องการของบรรดาสิงห์นักสูบทั้งหลายที่ต้องการเลิกบุหรี่ซึ่ง เห็นว่าเป็นที่นิยมจึงได้สั่งซื้อมาเพื่อหวังเก็งกำไรโดยตลาดของบุหรี่ไฟฟ้า แหล่งใหญ่อยู่ที่ตลาดนัดคลองถมและได้มีการแพร่หลายในอินเตอร์เน็ต โดยในตอนแรกเห็นว่าไม่ผิดกฎหมายต่อมาเมื่อบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่นิยมก็ได้พัฒนา มาเป็นบารากุ่ไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นโดยเฉพาะหญิงสาวอย่าง ไรก็ตามในการสั่งซื้อบารากุ่ไฟฟ้านั้นโดยครั้งแรกต้องมีการสั่งของเป็นจำนวน มากหรือแล้วแต่ตามเอเย่นต์ผู้ผลิตเป็นคนกำหนดเพื่อให้ได้ราคาสินค้าที่ถูกลง โดยตนสั่งมา 15ชุด ตกชุดละ 750บาทแล้วแต่ผู้จำหน่ายจะกำหนดราคาสินค้าและนำไปขายให้แก่ผู้บริโภคเอง สินค้าในท้องตลาดจะขายกันอยู่ที่ประมาณไม่เกิน1,450 บาทอย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการนำเสนอข่าวออกมาว่าจะมีการกวาดล้างอย่างจริง จังเพราะมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและเป็นสิ่งแพร่หลายกันอยู่ในปัจจุบันโดย ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ส่วนตัวคิดว่ายังไงก็ต้องเลิกขายหรือหางานอื่นทำเพราะกฎหมายจะออกมาบังคับ ใช้ในปีหน้าแล้วเมื่อผู้บริโภคได้อ่านข่าวแล้วยังไงการสั่งสินค้าก็ต้องลด น้อยลงตามไปด้วยหรืออาจจะขายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ.

“บารากุ ” ภัยร้าย! ภายใต้ความหอมหวาน
ช่วงหลังมักเห็นภาพ วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ที่นิยมนั่งตามสถานที่ท่องเที่ยว และมักจะสั่ง บารากุ มานั่งสูบกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นแฟชั่น หรือเข้าใจว่า บารากุ นั้นมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามที่คิดจะสูบมัน อยากให้ทุกคนลองคิดใหม่ค่ะ เพราะว่าการสูบ บารากุ ที่มีกลิ่นหอมหวานนั้น มันมีภัยร้ายแอบแฝงอยู่ ซึ่งบางทีอาจมากกว่าบุหรี่หลายเท่าตัว



ซึ่งอันตรายจาก บารากุ นั้น เราจะแบ่งออกได้เป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ
- เมื่อสูบ บารากุ ประมาณหนึ่งเดือน ผู้สูบจะเริ่มติด จะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย คิดอะไรไม่ออก
- บารากุ มีโทษกว่าบุหรี่ถึง 6 เท่า
- สูบ บารากุ 1 ห่อ เท่ากับ การสูบบุหรี่ถึง 20 มวน
- เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งไม่น้อยไปกว่าการสูบบุหรี่
- ใน บารากุ ประกอบด้วยเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ ในระดับสูง
- การสูบ บารากุ นาน 45 นาที จะผลิตสารน้ำมันดิน (ทาร์) มากกว่าการสูบบุหรี่ 5 นาที ถึง 36 เท่า
- อาจก่อให้เกิดโรคติดต่อ หากใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น วัณโรค
จากโทษที่อันตรายของบารากุนั้น จึงส่งผลให้เกิดการผลักดันออกกฎหมายควบคุมยาสูบชนิดนี้ในไทย หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องรับโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่จากการสำรวจกลับพบว่ามอระกู่ก็ยังมีขายตามสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน อย่างเปิดเผย
นอกจากนั้น เรายังได้อ่านเจอข้อมูลจาก นพ.โสภณ เมฆธน ยังกล่าวว่า “ควันที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูงทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนัก และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน” เลยทีเดียว
ซึ่งถ้าใครที่ชื่นชอบการสูบ บารากุ ล่ะก็ ก็อยากขอให้ลด ละ เลิก กันเถอะนะคะ เพราะร่างกายจะได้ไม่เป็นอันตรายและเสียสุขภาพด้วยค่ะ